PM หรือ Particulate Matters เป็นคำเรียกค่ามาตรฐานของฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่ PM 10 และ PM 2.5

ภาพการเทียบขนาดของ PM 10 และ PM 2.5 กับเส้นผม
ฝุ่น PM 10 หรือเรียกว่า ฝุ่นหยาบ (Course Particles) คือ อนุภาคฝุ่นละอองในอากาศที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 2.5 – 10 ไมครอน ฝุ่นประเภทนี้เมื่อรวมกันเป็นจำนวนมากแล้วมักจะสังเกตเห็นได้ง่าย เช่น ฝุ่นที่เกาะอยู่ตามข้าวของเครื่องใช้ เกสรดอกไม้ หรือฝุ่นละอองจากงานก่อสร้าง
ฝุ่น PM 2.5 เรียกว่า ฝุ่นละเอียด (Final Particles) คือ อนุภาคฝุ่นละอองในอากาศที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 2.5 ไมครอน และแขวนลอยอยู่ในอากาศรวมกับไอน้ำ ควัน และก๊าซต่าง ๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าถึงจะเป็นเพียงฝุ่นละอองขนาดจิ๋ว แต่เมื่อมาอยู่รวมกันจะกินพื้นที่ในอากาศมหาศาล ล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศปริมาณสูง เกิดเป็นหมอกควันอย่างที่เราเห็นกัน PM2.5 คือ ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน เทียบได้ว่ามีขนาดประมาณ 1 ใน 25 ส่วนของเส้นผ่านศูนย์กลางเส้นผมมนุษย์ มีขนาดเล็กจนขนจมูกของมนุษย์ที่ทำหน้าที่กรองฝุ่นนั้นไม่สามารถกรองได้ สามารถแพร่กระจายเข้าสู่ทางเดินหายใจ กระแสเลือด และเข้าสู่อวัยวะอื่น ๆ ในร่างกายได้ และตัวฝุ่นจะเป็นพาหะนำสารอื่นเข้ามาด้วย เช่น แคดเมียม ปรอท โลหะหนัก และสารก่อมะเร็งอีกด้วย
สาเหตุที่ทำให้เกิดฝุ่น PM 2.5
- การคมนาคมขนส่ง ควันจากท่อไอเสีย และการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเครื่องยนต์
- การผลิตไฟฟ้าและโรงงานอุตสาหกรรมนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ การเผาปิโตรเลียมและถ่านหินมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งอุตสาหกรรมเหล่านี้ก่อให้เกิดก๊าซพิษจากการเผาไหม้
- การเผาเพื่อทำการเกษตร การก่อสร้าง
- การรวมตัวของก๊าซอื่น ๆ ในบรรยากาศโดยเฉพาะซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และออกไซด์ของ ไนโตรเจน (NOx) รวมทั้งสารพิษอื่น ๆ ที่ล้วนเป็นอันตรายต่อร่างกายมนุษย์ เช่น สารปรอท (Hg), แคดเมียม (Cd), อาร์เซนิก (As) หรือโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (PAHs)

รูปภาพแสดง PM10 และ PM2.5 ให้เห็นว่าอนุภาคเล็กกว่าตัวเลขที่ระบุเอาไว้ มลพิษแต่ละประเภทที่มีขนาดเท่ากับหรือต่ำกว่า PM10 และ PM2.5

ภาพฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศ
อันตรายและผลกระทบทางสุขภาพจากฝุ่นละออง PM 2.5
ฝุ่นละออง PM 2.5 เป็นฝุ่นที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ไม่มีกลิ่น ขนาดเล็กมาก สามารถผ่านเข้าไปในร่างกายเราลึกได้ถึงถุงลมปอด บางส่วนสามารถเล็ดรอดผ่านผนังถุงลมเข้าเส้นเลือดฝอยล่องลอยอยู่ในกระแสเลือด และกระจายตัวแทรกซึมไปทั่วร่างกาย กระตุ้นให้คนที่มีโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังเกิดอาการกำเริบ เช่น โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ โรคหอบหืดและโรคถุงลมโป่งพอง โรคระบบหัวใจและหลอดเลือดเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด สำหรับผลระยะยาวจะทำให้การทำงานของปอดถดถอย อาจเกิดโรคถุงลมโป่งพองได้แม้จะไม่สูบบุหรี่ก็ตาม และเพิ่มโอกาสทำให้เกิดมะเร็งปอดได้อีกด้วย
ดัชนีคุณภาพอากาศของประเทศไทยแบ่งเป็น 5 ระดับ คือตั้งแต่ 0 ถึง 201 ขึ้นไป ซึ่งแต่ละระดับจะใช้สีเป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบระดับของผลกระทบต่อสุขภาพอนามัย โดยดัชนีคุณภาพนอากาศ 100 จะมีค่าเทียบเท่ามาตรฐานคุณภาพอากาศในบรรยากาศโดยทั่วไป หากดัชนีคุณภาพอากาศมีค่าสูงเกินกว่า 100 แสดงว่าค่าความเข้นข้นของมลพิษทางอากาศมีค่าเกินมาตรฐานและคุณภาพอากาศในวันนั้นจะเริ่มมีผลต่อสุขภาพของประชาชน
ตารางเกณฑ์ดัชนีคุณภาพอากาศ
AQI | ความหมาย | สีที่ใช้ | คำอธิบาย |
0 – 25 | คุณภาพอากาศดีมาก | ฟ้า | คุณภาพอากาศดีมาก เหมาะสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งและการท่องเที่ยว |
26 – 50 | คุณภาพอากาศดี | เขียว | คุณภาพอากาศดี สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งและการท่องเที่ยวได้ตามปกติ |
51 – 100 | ปานกลาง | เหลือง | ประชาชนทั่วไป : สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ตามปกติผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ : หากมีอาการเบื้องต้น เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง |
101 – 200 | เริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ | ส้ม | ประชาชนทั่วไป : ควรเฝ้าระวังสุขภาพ ถ้ามีอาการเบื้องต้น เช่น ไอ หายใจลำบาก ระคายเคืองตา ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็นผู้ที่ต้องดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ : ควรลดระยะเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น ถ้ามีอาการทางสุขภาพ เช่น ไอ หายใจลำบาก ตาอักเสบ แน่นหน้าอก ปวดศีรษะ หัวใจเต้นไม่เป็นปกติ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ควรปรึกษาแพทย์ |
201 ขึ้นไป | มีผลกระทบต่อสุขภาพ | แดง | ทุกคนควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้งหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูง หรือใช้อุปกรณ์ป้องกันตนเองหากมีความจำเป็น หากมีอาการทางสุขภาพควรปรึกษาแพทย์ |
วิธีการคำนวณความเข้มข้นของสารมลพิษทางอากาศ
คำนวณจากค่าความเข้มข้นของสารมลพิษทางอากาศจากข้อมูลผลการตรวจวัดคุณภาพอากาศ โดยมีระดับของค่าความเข้มข้นของสารมลพิษทางอากาศที่เทียบเท่ากับค่าดัชนีคุณภาพอากาศที่ระดับต่าง ๆ
สูตรการคำนวณดัชนีคุณภาพอากาศภายในช่วงระดับ เป็นสมการเส้นตรง ดังนี้

I = ค่าดัชนีย่อยคุณภาพอากาศ
X = ความเข้มข้นของสารมลพิษทางอากาศจากการตรวจวัด
Xi , Xj = ค่าต่ำสุด, สูงสุด ของช่วงความเข้มข้นสารมลพิษที่มีค่า X
Ii , Ij = ค่าต่ำสุด, สูงสุด ของช่วงดัชนีคุณภาพอากาศที่ตรงกับช่วงความเข้มข้น X จากค่าดัชนีย่อยที่คำนวณได้ สารมลพิษทางอากาศประเภทใดมีค่าดัชนีสูงสุด จะใช้เป็นดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ณ ช่วงเวลานั้น
ข้อมูลอ้างอิง
1. Admin Mouan, 2563, ฝุ่นละออง PM 2.5 คืออะไร ? ย่อมาจากคำว่าอะไร ? และ ผลกระทบ อันตรายจากฝุ่น PM 2.5 [Online], Available: https://tips.thaiware.com/1454.html [8 กุมภาพันธ์ 2565].
2. กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ, 2565, ข้อมูลดัชนีคุณภาพอากาศ [Online], Available: http://air4thai.pcd.go.th/webV2/aqi_info.php#:~:text=ดัชนีคุณภาพอากาศ%20(Air%20Quality,เข้มข้นของสารมลพิษทาง [9 กุมภาพันธ์ 2565].
3. บริษัท ซิลค์สแปน จำกัด, (ม.ป.ป.), ฝุ่น PM 2.5 เกิดจากอะไร และสาเหตุที่ทำให้ไม่ลดลง [Online], Available: https://www.silkspan.com/online/article/health/122/ [8 กุมภาพันธ์ 2565].
4. บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด, 2563, PM2.5 คืออะไร? อันตรายและการป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก [Online], Available: https://www.daikin.co.th/service-knowledge/pm-2-5/ [8 กุมภาพันธ์ 2565].
5. สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, 2562, รู้จักฝุ่นพิษ PM 2.5 ที่มากับมลภาวะ และวิธีการเลือกหน้ากากป้องกัน [Online], Available: http://www.mnre.go.th/om/th/news/detail/31459 [8 กุมภาพันธ์ 2565].
เชื้อโรคร้ายในฝุ่นละออง PM2.5
เผยแพร่: 23 ต.ค. 2563 21:43 โดย: ผศ.ดร.รุจิกาญจน์ นาสนิท และ ศาสตราจารย์ญาณวิทย์ ดร. ศิวัช พงษ์เพียจันทร์
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รุจิกาญจน์ นาสนิท
ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะวิศวกรรมศาสตร์และเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยศิลปากร
Email: rnasanit@gmail.com
และศาสตราจารย์ญาณวิทย์ ดร. ศิวัช พงษ์เพียจันทร์
ศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
หัวหน้าโครงการสร้างพลเมืองสร้างสรรค์ (Active Citizen) และผู้นำเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง (Prime Mover) ในบริบทการจัดการคุณภาพอากาศสำหรับประเทศไทย สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) Email: pongpiajun@gmail.com
แม้อากาศไม่ใช่แหล่งที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมสำหรับเชื้อจุลินทรีย์แต่ยังสามารถพบเชื้อจุลินทรีย์ได้ในชั้นบรรยากาศของโลก เชื้อจุลินทรีย์ที่แขวนลอยในอากาศเรียกว่า ละอองชีวภาพ หรือ Bioaerosol อาทิเช่น แบคทีเรีย รา และไวรัส โดยประชากรจุลินทรีย์ในอากาศที่พบส่วนใหญ่มาจากดิน ซึ่งเป็นสภาพแวดล้อมที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดสำหรับจุลินทรีย์ จุลินทรีย์ในอากาศและสารพิษที่จุลินทรีย์สร้างขึ้นมักพบอยู่ในลักษณะที่เกาะกับอนุภาคของละอองเสมหะหรือฝุ่นละอองต่าง ๆ ที่แขวนลอยในอากาศที่มีขนาดตั้งแต่ 0.02-100 ไมโครเมตร โดยอาจอยู่ในรูปของเหลว ของแข็ง หรือเป็นส่วนผสมระหว่างของเหลวและของแข็ง ละอองชีวภาพอาจแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มตามขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของอนุภาค ได้แก่ เส้นผ่าศูนย์กลางที่น้อยกว่า 0.1 โมโครเมตร เรียกว่า nuclei mode เส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 0.1-2 ไมโครเมตร เรียกว่า accumulation mode และเส้นผ่าศูนย์กลางที่มากกว่า 2 ไมโครเมตร เรียกว่า coarse mode
จุลินทรีย์และสารพิษจากจุลินทรีย์สามารถแขวนลอยในบรรยากาศได้ โดยติดไปกับอนุภาคของฝุ่นละอองหรือละอองน้ำขนาดเล็ก โดยส่วนใหญ่แล้วจะติดไปกับอนุภาคของฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมโครเมตร (PM10) หรืออนุภาคฝุ่นละอองหยาบ (coarse particulate matter) และสามารถพบแบคทีเรียที่ไม่จับกันเป็นกลุ่มก้อนได้ในอนุภาคฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมโครเมตร (PM2.5) หรืออนุภาคฝุ่นละอองละเอียด
เป็นที่ทราบกันดีว่าฝุ่นละอองขนาดใหญ่จะสามารถแขวนลอยอยู่ในบรรยากาศ 2-3 นาทีแล้วจะตกลงสู่พื้นด้วยแรงดึงดูดของโลก และแรงลม ฝุ่นละอองที่แขวนลอยอยู่ในอากาศได้นานมักเป็นฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมโครเมตร เนื่องจากมีความเร็วในการตกลงสู่พื้นต่ำ
นอกจากนี้ยังมีรายงานวิจัยพบว่าปริมาณสารก่อภูมิแพ้จากจุลินทรีย์ และเชื้อก่อโรคมีอัตราสูงขึ้นเมื่อความเข้มข้นของมลพิษจาก PM สูงขึ้น และเมื่อปริมาณฝุ่นละอองภายนอกอาคารสูงขึ้นย่อมส่งผลให้ปริมาณฝุ่นภายในอาคารบ้านเรือนสูงขึ้นตามไปด้วย ซึ่งละอองชีวภาพที่เกาะมากับฝุ่นละอองเหล่านี้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์และก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคภูมิแพ้ โรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และโรคผิวหนังบางชนิดที่เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค
อย่างไรก็ตามการอยู่รอดของจุลินทรีย์ในอากาศขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม และสภาพภูมิอากาศ เช่น อุณหภูมิ รังสีอุลตร้าไวโอเลต ทิศทางของลม ขนาดของอนุภาค ความชื้นสัมพัทธ์ เป็นต้น ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ ดังนั้นพื้นที่ที่แตกต่างกันย่อมมีการกระจายตัวของเชื้อจุลินทรีย์ และปริมาณของจุลินทรีย์ในฝุ่นละอองที่แตกต่างกันไป
นอกจากนี้ปัญหาการระบาดของโรคโควิด-19 ผนวกกับปัญหาฝุ่นพิษในอากาศยิ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ซึ่งไม่อาจมองข้ามได้ จากรายงานผลการวิเคราะห์ตัวอย่างฝุ่นละอองในอากาศของประเทศอิตาลีเบื้องต้นในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด- 19 ตรวจพบสารพันธุกรรมของไวรัสโควิด-19 ในตัวอย่างฝุ่นละออง ซึ่งสรุปได้ว่าฝุ่นละอองเหล่านี้อาจเป็นพาหะการแพร่ไวรัสได้ และจากผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความหนาแน่นของ PM2.5 และอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 ในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และเนเธอร์แลนด์ พบว่าความหนาแน่นของ PM2.5 ที่เพิ่มขึ้น 1 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่งผลให้มีอัตราการเสียชีวิตของโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้น 8 เปอร์เซนต์ และอาจสูงได้ถึง 16.6 เปอร์เซนต์
อย่างไรก็ตามระดับของมลพิษในอากาศและกรณีของโรคโควิด-19 ในแต่ละสถานที่นั้นมีความแตกต่างกันซึ่งทำให้การประเมินความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทั้งสองได้อย่างแม่นยำนั้นเป็นไปได้ยาก ดังนั้นมาตรการการควบคุม และการป้องกันในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีภาวะมลพิษทางอากาศสูงจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ข้อมูลจาก https://mgronline.com/daily/detail/9630000108665
มาทำความรู้จัก COVID-19 กันเถอะ

ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์กลุ่มอาการทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง 2 (severe acute respiratory syndrome coronavirus 2: SARS-CoV-2) หรือชื่อที่องค์การอนามัยโลกเคยใช้คือ ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (2019-nCoV) คือโรคติดต่อทำให้เกิดอาการติดเชื้อผ่านทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นสาเหตุของการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
ลักษณะทั่วไปของเชื้อ SARS-CoV-2
• เชื้อไวรัสที่พบในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมและสัตว์ปีก
• เป็นที่ไวรัสที่มีเปลือกเป็นไขมันหุ้ม (enveloped virus)
• เป็นไวรัสชนิด RNA ขนาดใหญ่
• สามารถติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจของมนุษย์
สายพันธุ์ที่เกี่ยวข้อง
• ไข้หวัดทั่วไป CoV 229E, OC43, NL63, HKU1
• ไวรัสซาร์ส SARS-CoV (ปี 2003)
• ไวรัสเมอร์ส MERS-CoV (ปี 2012-2020)
• ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ Novel Coronavirus (ปี 2019 – ปัจจุบัน)
เชื้อไวรัส CoV-2 แพร่ระบาดโดยวิธีใด
เชื้อไวรัส SARS-CoV-2 สามารถแพร่กระจายเชื้อผ่านทางอากาศ (Airborne) สิ่งมีชีวิตที่เป็นพาหะเเพร่เชื้อผ่านทางสารคัดหลั่งกระจายออกมาทางปาก หรือเสมหะ เป็นต้น ผู้ที่อยู่ไกล้เคียงสูดดมละอองเข้าไป อาจจะเป็นละอองฝอยขนาดใหญ่ (Droplet) หรืออาจจะเป็นละอองฝอยขนาดเล็ก {<5ไมครอน (Aerosal)} ยิ่งไปกว่านั้น เชื้อ CoV-2 ยังสามารถติดเชื้อผ่านทางการสัมผัส เช่น การจับมือกัน หรือใช้ของร่วมกัน แล้วนำมือที่สัมผัสเชื้อไวรัสมาสัมผัสตาหรือจมูก แล้วอาจติดเชื้อได้ เชื้อ CoV-2 สามารถติดต่อผ่านทางอุจจาระได้อีกด้วย (ติดต่อผ่านทางละอองฝอยอุจจาระ ควรปิดฝาชักโครกตอนกดชักโครกเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ)
วิธีการป้องกันการติดเชื้อ Covid 19
- หลีกเลี่ยงการสัญจรไปบริเวณที่มีคนแออัด เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนต์ คลับ บาร์ เป็นต้น
- ถ้ายังไม่ล้างมือ (ล้างด้วยสบู่) ไม่ควรสัมผัสบริเวณตา จมูก ปาก
- หมั่นล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ (ถ้าใช้แอลกอฮอลล์ล้างมือควรมีส่วนผสมของแอลกอฮอลล์มากว่า 70%) โดยเฉพาะตอนก่อน-หลัง รับประทานอาหาร เดินทางนอกบ้าน และก่อนการสัมผัสใบหน้า
- ควรใส่หน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อตลอดเวลา (ควรใส่หน้ากากอนามัย-หน้ากากผ้า ตอนอยู่บ้านเช่นกันเพื่อลดโอกาสการแพร่ระบาดของเชื้อในครอบครัว)